ลดความยุ่งยากในการใช้คลาวด์ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่

devops tools must have 2025
Home DevOps tools ไหนที่คุณขาดไม่ได้ ถ้าคุณคือทีม Dev ยุค 2025?

DevOps tools ไหนที่คุณขาดไม่ได้ ถ้าคุณคือทีม Dev ยุค 2025?

ถ้าคุณคือทีม Dev ที่ต้องเร่งส่งมอบงานให้เร็วกว่าเดิม ลดบั๊กให้เหลือน้อยที่สุด และต้องการระบบที่เสถียรตั้งแต่วันแรกที่ขึ้น Production คำถามสำคัญที่คุณต้องตอบให้ได้ในปี 2025 ก็คือ “ทีมของคุณมี DevOps tools ที่จำเป็นครบหรือยัง?”

ในบทความนี้ เราไม่ได้แค่จะมาแนะนำเครื่องมือ DevOps แบบทั่วไป แต่จะพาคุณไปดูว่าเครื่องมือไหนคือของที่ “ขาดไม่ได้” สำหรับทีมพัฒนาในยุคนี้ และเพราะอะไรคุณควรเลือกใช้มันตั้งแต่วันนี้

DevOps คืออะไร และทำไมทีม Dev ยุคใหม่ถึงขาด DevOps tools ไม่ได้?

DevOps เป็นมากกว่าแค่เทคนิคหรือเครื่องมือ มันคือแนวคิดและวัฒนธรรมการทำงานที่รวมทีมพัฒนา (Development) และทีมปฏิบัติการ (Operations) เข้าด้วยกันผ่านการใช้เครื่องมือ เพื่อให้ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเขียนโค้ด ทดสอบ ไปจนถึง deploy เป็นไปอย่างราบรื่นและอัตโนมัติ

สำหรับทีม Dev ที่ต้องเผชิญกับ deadline ที่รัดตัว ระบบที่ต้อง always-on และ user ที่คาดหวัง zero downtime tools คืออาวุธสำคัญที่คุณต้องมีในทีม

6 DevOps tools ที่ทีม Dev ขาดไม่ได้ในปี 2025

1. Git เครื่องมือพื้นฐานที่ทุกทีมต้องใช้

Git

Git เป็นระบบ version control ที่ช่วยให้ทีมสามารถจัดการโค้ดร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับเวอร์ชัน แยกสาขาการพัฒนา หรือการควบคุมคุณภาพ Git ยังรองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง GitHub, GitLab และ Bitbucket ซึ่งเพิ่มความสะดวกในการจัดการ repository และ pull request ให้กับทั้งทีม ในโลกที่การพัฒนาแบบ Agile และ Continuous Delivery เป็นมาตรฐาน การไม่มี Git เปรียบเหมือนเดินเรือโดยไม่มีเข็มทิศ

2. Jenkins เครื่องมือ CI/CD ที่ยืดหยุ่นที่สุด

Jenkins เป็น automation server ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการทำงานแบบ Continuous Integration (CI) และ Continuous Delivery (CD) มันสามารถตั้งค่า pipeline เพื่อให้ทุกครั้งที่มีการ push โค้ด ระบบจะ build และ test โดยอัตโนมัติ ลดโอกาสเกิดบั๊ก และช่วยให้ทีมมั่นใจว่าโค้ดที่ถูกนำขึ้น Production มีคุณภาพ Jenkins รองรับ plugin มากกว่า 1,800 ตัว ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นได้หลากหลาย เป็นหัวใจของระบบ DevOps สมัยใหม่ที่ต้องการความอัตโนมัติสูง

3. Docker พัฒนาและรันได้ทุกที่แบบไม่ง้อสภาพแวดล้อม

Docker

Docker เปลี่ยนวิธีการพัฒนาและ deploy แอปพลิเคชัน โดยช่วยให้สามารถสร้าง container ที่รวมทุกสิ่งที่แอปต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็น runtime, dependency, หรือ library ทำให้แอปของคุณสามารถรันได้เหมือนกันทั้งในเครื่องของนักพัฒนา เครื่อง staging และ production ช่วยลดปัญหา “ทำไมรันบนเครื่องฉันได้ แต่รันบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้” Docker ยังช่วยให้การจัดการเวอร์ชันแอปง่ายขึ้น และสามารถปรับใช้กับแนวคิด Microservices ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Kubernetes ถ้าคุณมีหลาย container นี่คือสิ่งที่ต้องใช้

Kubernetes

Kubernetes เป็นระบบจัดการ container อัตโนมัติที่ช่วยให้คุณสามารถ deploy, scale และจัดการ container หลายตัวได้ง่ายขึ้น เป็นเครื่องมือที่จำเป็นอย่างยิ่งหากคุณใช้ Docker แล้วต้องการควบคุม container เหล่านั้นแบบ real-time และให้มี high availability Kubernetes ยังรองรับการสร้าง service discovery, load balancing และ self-healing ทำให้ระบบสามารถรักษาเสถียรภาพได้แม้เกิดปัญหาในบาง node ของระบบ

5. Terraform สร้างและจัดการโครงสร้างพื้นฐานแบบเป็นระบบ

Terraform

Terraform คือเครื่องมือ Infrastructure as Code (IaC) ที่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดโครงสร้างพื้นฐานของระบบในรูปแบบไฟล์โค้ด ทำให้สามารถควบคุมและตรวจสอบได้ทุกการเปลี่ยนแปลงของระบบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง VM, Load balancer, หรือ Database บน Cloud Terraform รองรับผู้ให้บริการหลากหลายเจ้า เช่น AWS, Azure, และ GCP ซึ่งเหมาะสำหรับทีม DevOps ที่ต้องการความรวดเร็วในการตั้งค่าระบบ และต้องการหลีกเลี่ยง human error จากการตั้งค่าด้วยมือ

6. Grafana + Prometheus มองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับระบบ

Grafana Prometheus
Grafana และ Prometheus คือคู่หูที่ใช้ร่วมกันในการ monitor ระบบ Prometheus ทำหน้าที่เก็บข้อมูล metric จาก service ต่าง ๆ และ Grafana เป็นเครื่องมือ visualization ที่ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของ performance แบบ real-time คุณสามารถตั้ง alert ได้เมื่อตัวชี้วัดเกินค่าที่กำหนด เช่น memory usage, CPU load หรือ response time ของ service หากไม่มีเครื่องมือ monitoring ที่ดี ทีมอาจพลาดปัญหาเล็ก ๆ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลัง

แล้วทีมของคุณล่ะ? มี DevOps tools เหล่านี้ครบหรือยัง

ไม่ว่าคุณจะเป็น Dev, QA, DevOps Engineer หรือแม้แต่ Project Manager เครื่องมือเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทีมยุคใหม่ควรใช้ร่วมกัน หากคุณยังทำทุกอย่าง manual, deploy ช้า หรือเจอปัญหาซ้ำ ๆ บ่อยครั้ง… นั่นคือสัญญาณว่าคุณควรอัปเกรด stack ของทีม

DevOps tools + Cloud = คู่หูที่ทีมยุคใหม่ห้ามมองข้าม

เมื่อระบบส่วนใหญ่ย้ายขึ้นคลาวด์ DevOps tools ต้องสามารถทำงานร่วมกับสภาพแวดล้อมแบบ Cloud-native ได้ เช่น ใช้ GitLab + Terraform กับ Cloud Provider เพื่อ deploy อัตโนมัติ หรือใช้ Kubernetes Cluster บน Cloud สำหรับแอปที่ต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก

หากคุณวางระบบ DevOps บน Cloud Infrastructure ที่ดี จะได้ทั้งความเร็ว ความยืดหยุ่น และความมั่นคง

สรุป: DevOps tools คือสิ่งที่ทีม Dev ยุค 2025 ต้องมี ไม่ใช่แค่ควรมี

การมี DevOps tools ที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ช่วยให้คุณทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิด วิธีวางระบบ และวิธีแก้ปัญหาให้กลายเป็นแบบอัตโนมัติและตรวจสอบได้ ในยุคที่ใคร ๆ ก็เร่ง deploy แต่มีไม่กี่ทีมที่ deploy แล้ว “รอด” การมีเครื่องมือที่เหมาะสมคือแต้มต่อสำคัญของทีม Dev ยุคใหม่

หากคุณกำลังมองหา Cloud Server ที่เหมาะสำหรับการใช้งาน DevOps tools THAI DATA CLOUD พร้อมให้บริการด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียร ปลอดภัย และพร้อมรองรับทีมพัฒนาทุกรูปแบบ

สอบถามเพิ่มเติม หรือปรึกษาการวางโครงสร้าง Cloud Infrastructure ได้ที่ www.thaidata.cloud

สอบถามข้อมูลบริการ

Hybrid Cloud Enterprise Downtime 0%
ไม่ล่มแม้แต่วินาทีเดียว

ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่ 2019 - ปัจจุบัน

เราให้บริการ Enterprise Cloud ในราคาถูกและคุ้มค่า เพื่อสนับสนุนให้ทุกธุรกิจของคนไทยได้เข้าถึง Cloud ระดับโลก
คุณภาพสูงทำงานได้ต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่มีสะดุด พร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจคุณอย่างเต็มที่!