Data Center เกาหลีใต้ไฟไหม้ สูญข้อมูลรัฐบาล 858 TB บทเรียนราคาแพงของการไม่สำรองข้อมูล
เหตุการณ์ไฟไหม้ Data Center ที่สะเทือนระบบข้อมูลระดับชาติ ปลายเดือนกันยายน 2025 รัฐบาลเกาหลีใต้เผชิญเหตุการณ์ครั้งใหญ่ เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นที่ศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ (National Information Resources Service – NIRS) ในเมืองแดจอน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบราชการดิจิทัลทั่วประเทศ
ไฟไหม้ครั้งนี้ได้เผาทำลายระบบจัดเก็บข้อมูลหลักของภาครัฐที่ชื่อว่า “G-Drive” จนเสียหายทั้งหมด คิดเป็นปริมาณข้อมูลมากกว่า 858 เทราไบต์ (TB) ที่น่าตกใจคือ ศูนย์ข้อมูลดังกล่าว ไม่มีระบบ Backup ภายนอก (Off-Site Backup) เลย ทำให้ข้อมูลราชการของหน่วยงานกว่า 750,000 บัญชีสูญหายไปเกือบทั้งหมด
แหล่งข่าวจาก DataCenterDynamics ระบุว่า ระบบ G-Drive มีไว้สำหรับจัดเก็บเอกสารราชการ การสื่อสารภายใน และข้อมูลบริหารงานภาครัฐทั่วประเทศ ผลลัพธ์คือ ระบบราชการหลายร้อยบริการ เช่น อีเมลราชการ การออกเอกสาร และระบบข้อมูลกลาง ต้องหยุดทำงานทันที และอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะกู้คืนได้ทั้งหมด
ความเสียหายที่มากกว่า “ข้อมูลหาย”
เหตุการณ์นี้ไม่ได้สร้างผลกระทบเฉพาะต่อข้อมูลเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบดิจิทัลภาครัฐโดยตรง รายงานจาก WinBuzzer ระบุว่า ไฟไหม้เริ่มจากแบตเตอรี่ UPS ภายในอาคาร ก่อนจะลุกลามไปยังห้องเซิร์ฟเวอร์หลัก แม้จะมีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ แต่ไม่สามารถควบคุมได้ทัน
รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องยกระดับสถานการณ์เป็นภัยไซเบอร์ระดับสูงสุด เนื่องจากข้อมูลจำนวนมากไม่สามารถกู้คืนได้ และอาจมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางดิจิทัลตามมา เหตุการณ์นี้สะท้อนข้อเท็จจริงสำคัญว่า ศูนย์ข้อมูล ที่ไม่มีระบบ Backup คือศูนย์รวมของความเสี่ยงที่รอวันปะทุ”
บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์ Data Center เกาหลีใต้
1. การไม่มี Backup ภายนอก คือจุดล้มของระบบทั้งหมด
แม้ DataCenter จะมีระบบสำรองไฟ และความปลอดภัยขั้นสูง แต่หากไม่มี Off-Site Backup หรือ Cloud Backup ภายนอก เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ ข้อมูลทั้งหมดจะหายไปพร้อมกับฮาร์ดแวร์
2. Single Point of Failure จุดอ่อนที่มักถูกมองข้าม
ระบบ G-Drive ถูกรวมไว้ในศูนย์ข้อมูลแห่งเดียว ทำให้เมื่อศูนย์นั้นเสียหาย ไม่มีระบบใดมารับช่วงการทำงานได้ทันที
3. โครงสร้างพลังงานของ DataCenter อาจกลายเป็นภัยเอง
การจัดการแบตเตอรี่ UPS หรือระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้แยกโซนความเสี่ยงอย่างถูกต้อง เป็นสาเหตุหลักของไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลหลายครั้งทั่วโลก
4. ความเสียหายไม่หยุดแค่ “ข้อมูล” แต่กระทบต่อบริการประชาชน
กว่า 647 ระบบราชการต้องหยุดชะงัก (ตามรายงานของ Reuters) และกว่า 600 บริการภาครัฐออนไลน์ต้องปิดชั่วคราว
Data Center ยุคใหม่ต้องมี “ความยืดหยุ่น” มากกว่าความใหญ่
องค์กรจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่หรือใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง “Resilience” หรือ ความสามารถในการฟื้นคืนระบบ ต่างหากที่เป็นหัวใจหลัก
แนวทางที่ ดาต้าเซ็นเตอร์ สมัยใหม่ควรมีคือ
- กระจายศูนย์ข้อมูลหลายภูมิภาค (Multi-Region Data Center)
เพื่อให้สามารถกู้คืนระบบได้แม้เกิดภัยในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง - ใช้กลยุทธ์ 3-2-1 Backup
เก็บข้อมูล 3 ชุด บนสื่อ 2 ประเภท และ 1 ชุดอยู่นอกสถานที่ - นำ Cloud หรือ Hybrid Backup เข้ามาเสริม
ลดการพึ่งพา ดาต้าเซ็นเตอร์ เดียว และเพิ่มความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ - ทดสอบ Disaster Recovery อย่างสม่ำเสมอ
การมี Backup โดยไม่ทดสอบ คือการสร้างความมั่นใจปลอม ๆ ให้กับระบบ
จากเหตุไฟไหม้ สู่บทเรียนสำหรับองค์กรทั่วโลก
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงเป็นข่าวของเกาหลีใต้ แต่คือ “สัญญาณเตือน” สำหรับทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล สถาบันการเงิน หรือธุรกิจเอกชน ที่ยังพึ่งพา ดาต้าเซ็นเตอร์ เพียงแห่งเดียวโดยไม่มี Cloud Backup หรือ Disaster Recovery Plan
องค์กรควรถามตัวเองว่า
- ถ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ ของเราล่มตอนนี้ เรามี Backup ล่าสุดอยู่ที่ไหน?
- หากไฟไหม้ น้ำท่วม หรือ Cyber Attack เกิดขึ้น เราจะกู้ระบบกลับมาได้ในกี่ชั่วโมง?
- Backup ของเราถูกทดสอบครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?
สรุป
เหตุการณ์ไฟไหม้ Data Center ที่เกาหลีใต้ สูญข้อมูลกว่า 858 TB เป็นเครื่องเตือนใจว่า “ความปลอดภัยของข้อมูล” ไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ วัฒนธรรมองค์กร และการบริหารความเสี่ยง
การไม่มี Backup เท่ากับการยอมรับความเสี่ยงที่จะ “สูญทุกอย่างในพริบตา” ในยุคที่ข้อมูลคือสินทรัพย์ องค์กรที่มีระบบสำรองข้อมูลที่ยืดหยุ่น คือองค์กรที่พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง
- Categories:
- IT News
